วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

ความหมายและความสำคัญของการโฆษณา

การโฆษณา (Advertising) เป็นการนำเสนอต่อสาธารณชน (Public Presentation) บอกข่าวสาร
สินค้าแก่คนจำนวนมากไม่เจาะจงเฉพาะตัวหรือกลุ่มข่าวสารต้องมีความเป็นสากล เข้าใจได้ทั่วไป กระตุ้น
ให้เกิดการรับรู้ และพฤติกรรมการซื้อ

การโฆษณา เป็นวิธีการนำเสนอต่อสาธารณชนโดยไม่ใช้ตัวบุคคล (Nonpersonal Presentation) ระบุชื่อ
สินค้า บริการ หรือองค์กรที่เป็นเจ้าของสินค้าอย่างชัดเจน นำเสนอโดยการผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้
งบประมาณค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น

นอกจากนี้การโฆษณายังมีลักษณะดังต่อไปนี้

กระจายได้กว้างขวาง (Persuasiveness) ข่าวสารผ่านการโฆษณาแทรกซึมเข้าสู่คนจำนวนมาก
สามารถกำหนดความถี่ของข่าวสาร เนื้อหาข่าวสารตามที่เจ้าของสินค้ากำหนด กลุ่มเป้าหมายสามารถ
รับสื่อได้อย่างเสรีไม่ถูกบังคับ ไม่สูญเสียความเป็นส่วนตัว สามารถเปรียบเทียบข้อมูลกับสินค้าอื่นๆ ได้
เน้นจุดเด่นได้ตามที่ต้องการ (Amplified Expressiveness)   โฆษณาสามารถถ่ายทอดข่าวสารได้ด้วย
งานความคิดสร้างสรรค์ เน้นความงดงามของภาพ เสียง และงานพิมพ์ เสริมเน้นจุดเด่นของสินค้าได้
เป็นอย่างดี
ไม่มีความเป็นส่วนตัว    (Impersonality)   ผู้รับมีอิสระในการรับข่าวสาร ไม่รู้สึกมีข้อผูกพันที่จะต้อง
ให้ความสนใจหรือต้องตอบสนอง ซึ่งจะแตกต่างจากวิธีอื่นๆ เช่น การใช้
พนักงานขาย


วัตถุประสงค์ของการโฆษณา

วัตถุประสงค์พื้นฐานของการโฆษณา ประกอบด้วยวัตถุประสงค์ 3 ประเภท ได้แก่

เพื่อแจ้งข่าวสารข้อมูล (Informative Advertising) มักจะถูกนำมาใช้ในกรณีต่างๆ เช่น เพื่อการแนะนำ
ผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อสร้างภาพพจน์ของบริษัท เพื่อลดความเสี่ยงภัยของผู้บริโภคที่ซื้อสินค้า เพื่อแนะนำ
วิธีใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อแจ้งข่าวสารให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงในส่วนประสมทางการตลาด
เพื่อชักจูงใจ (Persuasive Advertising) นักการตลาดจะนำมาใช้เมื่อต้องการชักจูงใจให้เกิดการซื้อในทันที
หรือเพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานขายได้มีโอกาสในการแสดงสินค้าให้ผู้ซื้อเห็น ใช้สร้างการเจาะจงใช้
ตราสินค้า (Selective Demand)        หรือเพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคเกิดความชอบในตรายี่ห้อของกิจการ
(Brand Preference)
เพื่อเตือนความทรงจำ (Reminder Advertising) มักจะถูกนำมาใช้เมื่อมีเป้าหมายย่อยดังต่อไปนี้ คือ
เพื่อกระตุ้นความจำขนองผู้บริโภคเกี่ยวกับตรายี่ห้อของสินค้าของกิจการ         เพื่อรักษาภาพพจน์
ของผลิตภัณฑ์และบริษัทให้คงไว้เสมอ เพื่อเตือนความจำให้ผู้ซื้อรู้ถึงแหล่งที่จะซื้อสินค้า เป็นต้น

การโฆษณา การส่งเสริมการขาย และ การประชาสัมพันธ์

ารโฆษณา หมายถึงรูปแบบการให้ข่าวสารเกี่ยวกับสินค้า บริการหรือความคิด โดยไม่ใช้บุคคลและต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อจูงใจโดยหวังผลทางด้านยอดขาย และสามารถระบุผู้เป็นเจ้าของชิ้นงานโฆษณานั้นได้

ประเภทของการโฆษณา
1. จัดตามประเภทกลุ่มเป้าหมาย (By Target Audience) แบ่งออกได้ดังนี้
 1.1 การโฆษณาที่มุ่งสู่ผู้บริโภค (Consumer Advertising)
 1.2 การโฆษณาที่มุ่งสู่หน่วยธุรกิจ (Business Advertising)
2. จัดตามประเภทอาณาบริเวณทางภูมิศาสตร์ (By Geographic)
 2.1 การโฆษณาที่มุ่งต่างประเทศ (International Advertising)
 2.2 การโฆษณาระดับชาติ (National Advertising)
 2.3 การโฆษณาในเขตใดเขตหนึ่ง (Regional Advertising)
 2.4 การโฆษณาระดับท้องถิ่น (Local Advertising)
3. จัดตามประเภทสื่อ (By Medium)
 3.1 ทางโทรทัศน์
 3.2 ทางวิทยุ
 3.3 ทางนิตยสาร
 3.4 โดยใช้จดหมายตรง
 3.5 นอกสถานที่
4. จัดตามประเภทเนื้อหา หรือ จุดมุ่งหมาย (By Content or Purpose)
 4.1 การโฆษณาผลิตภัณฑ์กับการโฆษณาสถาบัน
 (Product Versus Institutional Advertising)
 4.2 การโฆษณาเพื่อหวังผลทางการค้ากับการโฆษณาที่ไม่หวังผลทางการค้า
 (Commercial Versus Noncommercial Advertising)
 4.3 การโฆษณาให้เกิดกระทำกับการโฆษณาให้เกิดการรับรู้
 (Action Versus Awareness Advertising)

การตัดสินใจที่สำคัญในกระบวนการโฆษณา
การตัดสินใจเกี่ยวกับตลาดเป้าหมาย หรือผู้ฟัง (Market) คือการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ผู้ฟัง ผู้ชม
การตัดสินใจกำหนดวัตถุประสงค์ของการโฆษณา
 2.1 เพื่อแจ้งข่าวสาร (To Inform)
 2.2 เพื่อจูงใจ (To Persuade)
 2.3 เพื่อเตือนความจำ (To Remind)
การตัดสินใจเกี่ยวกับการตั้งงบประมาณการโฆษณา
การตัดสินใจสร้างสรรงานโฆษณา
การตัดสินใจเลือกสื่อโฆษณา ได้แก่ สื่อโฆษณา โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร จดหมายตรง สื่อโฆษณานอกสถานที่
การตัดสินใจการวิจัยและวัดผลการโฆษณา

การส่งเสริมการขาย (Sales Promotion)
หมายถึง การจูงใจโดยเสนอคุณค่าพิเศษแก่ผู้บริโภค คนกลาง หรือ หน่วยการขาย เพื่อเพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ในทันที นอกเหนือจากกิจกรรมที่ทำอยู่เป็นประจำ
1. การส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่ผู้บริโภค (Consumer Promotion)
 1.1 การแจกคูปอง (Coupons)
 1.2 การลดราคา (Price Off)
 1.3 การรับประกันให้เงินคืน (Refund)
 1.4 การคืนเงิน (Rabates)
 1.5 การให้ของแถม (Premiums)
 1.6 การแจกตัวอย่างสินค้า (Sampling)
 1.7 การเสนอขายโดยรวมผลิตภัณฑ์ (Combination Offers)
 1.8 การแข่งขัน (Contest) และการชิงรางวัลด้วยการเสี่ยงโชค (Sweeptakes)
 1.9 การจัดแสดงสินค้า ณ จุดซื้อ (Point of Purchase Display)
 1.10 แสตมป์การค้าและแผนการต่อเนื่อง (Trading Stamp and Continuity Plan)
2. การส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่คนกลาง (Trade or Dealer Promotion)
 2.1 ข้อตกลงการค้า (Trade deals)
 2.2 ส่วนลด (Discount)
 2.3 ส่วนยอมให้ (Allowances)
 2.4 การโฆษณาร่วมกัน (Cooperative Advertising)
 2.5 การแถมตัวอย่างแก่คนกลาง (Dealer Free Goods)
 2.6 การแข่งขันทางการขาย (Sales Contest)
3. การส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่พนักงานขาย (Sales Forces Promotion)
 3.1 การแข่งขันทางการขาย (Sales Contest)
 3.2 การฝึกอบรมการขาย (Sales Training)
 3.3 การมอบอุปกรณ์ช่วยขาย (Selling Aids)
 3.4 การกำหนดโควต้าการขาย (Sales Quota)
 3.5 การให้สิ่งจูงใจจากการหาลูกค้าใหม่ (New Customer Incentives)

การประชาสัมพันธ์
หมายถึง ความพยายามที่มีการวางแผน โดยกิจการหนึ่งเพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต่อองค์การ ให้เกิดกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง วิธีการประชาสัมพันธ์ที่นิยมใช้มีดังนี้
การใช้สิ่งพิมพ์ (Publication)
การใช้เหตุการณ์พิเศษ (Events)
การให้ข่าว (News)
การกล่าวสุนทรพจน์ (Speeches)
การให้บริการชุมชนและสังคม (Public and Social Services Activities)
การใช้สื่อเฉพาะ (Identify Media)

ทำแบรนให้ติดตลาด

จุดมุ่งหมายสูงสุดของการประกอบธุรกิจโดยเฉพาะการขายสินค้าเห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องยอดขายและผลกำไรที่ได้รับ ทุกบริษัทต่างหวังผลและนำเรื่องดังกล่าวมาเป็นเป้าหมายหลักของธุรกิจ จึงกลายเป็นที่มาของการสร้างสรรค์แผนธุรกิจที่หลากหลายผสานกับการวางกลยุทธ์ที่สลับซับซ้อนและแยบยลมากยิ่งขึ้นกว่าในอดีต

หนึ่งในวิธีการที่จะช่วยทำให้ธุรกิจซึ่งดำเนินงานด้านค้าขายประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วพร้อมทั้งบรรลุวัตถุประสงค์ด้านยอดขายและกำไรก็คือ "การทำให้แบรนด์สินค้าติดตลาด" ซึ่งผู้ประกอบการต้องดึงเอากลยุทธ์วิธีการอื่นๆ เข้ามาเสริมด้วย อย่าได้หวังพึ่งการกระหน่ำยิงสปอตโฆษณาแต่เพียงอย่างเดียว วิธีการและองค์ประกอบหลักๆ ที่จะช่วยให้แบรนด์สินค้าติดตลาดได้อย่างรวดเร็วมีดังต่อไปนี้

ถ้่าอยากให้แบรนด์สินค้าติดตลาดได้อย่างรวดเร็ว คุณภาพของผลิตภัณฑ์คือสิ่งแรกที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะสิ่งนี้ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญเพราะผู้บริโภคสามารถจับต้องและใช้ผลิตภัณฑ์ได้จริง หากในทรรศนะของผู้บริโภคมีความเห็นว่าสินค้ามีคุณภาพดีและคุณสมบัติดีสามารถตอบสนองความต้องของเขาได้จริง ตัวผลิตภัณฑ์จะได้รับการบอกต่อแบบปากต่อปากไปสู่กลุ่มผู้บริโภคท่านอื่นๆ ซึ่งเป็นวิธีการประชาสัมพันธ์สินค้าที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดและไม่เสียค่าใช้จ่ายเลยด้วย จึงเป็นวิธีที่นักการตลาดทุกคนต่างใฝ่ฝันถึง ผู้ประกอบการจึงควรมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองให้ดีเป็นอันดับแรก โดยเริ่มจากเสริมสร้างจุดแข็งให้เหนือกว่าบริษัทคู่แข่งและพร้อมกันนั้นก็ลดจุดอ่อนไปพร้อมๆ กัน

ความโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครของผลิตภัณฑ์ถือเป็นสิ่งเร้าอันดับต้นที่ทำให้ผู้บริโภคจดจำสินค้าได้เป็นอย่างดีและสร้างโอกาสให้แบรนด์ติดตลาด เพราะผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาดมักคล้ายคลึงกันไปเสียหมด หากผู้ประกอบการสามารถฉีกแนวและสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กับผลิตภัณฑ์ได้ จะช่วยดึงความสนใจมาจากผู้บริโภคได้ทันทีและเพิ่มโอกาสในการขายอีกด้วย นอกจากนี้หากผลิตภัณฑ์มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากๆ จะทำให้ผู้บริโภคหันมาเรียกชื่อแบรนด์สินค้าแทนที่ชื่อประเภทสินค้าไปโดยปริยาย เช่น คนไทยมักเรียกสินค้าประเภทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่า "มาม่า" เป็นต้น ทำให้ทุกครั้งที่ผู้บริโภคอยากซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็จะนึกถึงมาม่าก่อนเสมอ

การลด แลก แจก แถม จัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ณ จุดขาย ถือเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ได้รับความนิยมอย่างมากมาแต่อดีต และเป็นกลไกที่ทำให้แบรนด์ติดตลาด เพราะกลยุทธ์ส่งเสริมการขายเหล่านี้ช่วยเรียกร้องความสนใจของผู้บริโภคได้โดยทันที หากผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการจัดโปรโมชั่นให้ข้อเสนอที่ดีกว่าของคู่แข่ง ผู้บริโภคจะตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของเผู้ประกอบการได้ง่ายขึ้น และอาจถูกบอกต่อในหมู่้ผู้บริโภคจนทำให้แบรนด์สินค้าติดตลาด จึงถือเป็นแนวทางที่น่าสนใจอย่างยิ่ง แต่ขอให้ผู้ประกอบการพึงระวังไว้หนึ่งอย่างคือการจัดโมชั่นประเภทลด แลก แจก แถม แม้จะได้ผลน่าพอใจมาก แต่ควรคำนึงถึงต้นทุนและผลกำไรที่จะได้รับจริงๆ ว่าคุ้มค่ามากแค่ไหน นอกจากนี้ควรจัดโปรโมชั่นให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจและกลยุทธ์การตลาดอื่นๆ ของบริษัทด้วย

ปัจจุบันผู้บริโภคฉลาดมากขึ้นทั้งยังมีตัวเลือกมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา โฆษณาจึงมิใช่อาวุธหลักที่น่าสนใจในการทำให้แบรนด์สินค้าติดตลาดเหมือนเช่นดังแต่ก่อนที่เพียงอัดโฆษณาเยอะๆ เข้าไว้เป็นพอ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้อีกเช่นกันว่าโฆษณาไม่สามารถสร้างประโยชน์ให้ผู้ประกอบการได้เลย เพราะหากพูดถึงการส่งแจ้งข่าวสารและสร้างการรับรู้แล้ว โฆษณาก็ไม่เคยทำให้ผิดเลยสักนิด ดังนั้นโฆษณาจึงยังมีประโยชน์และอิทธิพลอย่างมากทั้งต่อผู้ประกอบการและผู้บริโภค แต่ประเด็นคือจะใช้โฆษณาอย่างไรให้เหมาะสม เพราะผู้บริโภคมีหลายลักษณะและแตกต่างจากอดีต ซึ่งแนวทางการโฆษณา่ที่ดีและน่าจะเหมาะสมในยุคนี้อาจเป็นการลดการยิงสปอตโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์และวิทยุ แล้วหันไปใส่ใจคุณภาพของโฆษณามากกว่าปริมาณ นอกจากนี้ควรให้ความสนใจสื่อทางเลือกกระแสอื่นๆ อย่างการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตและโซเชียเน็ตเวิร์กต่างๆ ซึ่งการโฆษณาผ่านสื่ออย่างครอบคลุมจะทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงและจดจำแบรนด์สินค้าได้ดีกว่าการเล่นผ่านสื่อกระแสหลักแต่เพียงอย่างเดียว

กระแสการตอบแทนและอุทิศตนเพื่อสังคมเป็นสิ่งที่ได้รับการยกย่องมากในขณะนี้ ผู้ประกอบการควรจัดกิจกรรมดีๆ สักหนึ่งอย่างเพื่อตอบแทนและคืนกำไรกลับสู่สังคม อาทิ แจกทุนการศึกษาให้เด็กนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ นำสินค้าออกประมูลเพื่อช่วยเหลือบุคคลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเป็นผู้ให้การสนับสนุนหลักในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง เช่น บริษัทเครือซีเมนต์ไทยให้การสนับสนุนนักกีฬาแบดมินตันมาโดยตลอด เป็นต้น ซึ่งการจัดงานและกิจกรรมเพื่อสังคมจะช่วยให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์สินค้าได้ง่ายขึ้นและยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้สูงขึ้นด้วย แต่ควรจำไว้ว่าการทำกิจกรรมเพื่อสังคมจะต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ อย่าได้มีจุดประสงค์แอบแฝงเรื่องผลประโยชน์โดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นอาจทำให้ภาพลักษณ์ดูแย่ในสายตาผู้บริโภคโดยทันที

การที่แบรนด์ติดตลาดถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากในการทำธุรกิจสมัยใหม่ เพราะนอกจากจะทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถสร้างยอดขายและกำไรได้มากแล้ว ยังช่วยให้การทำธุรกิจสะดวกสบายและลดอุปสรรคปัญหาต่างๆ ลงไปได้มากพอควร นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังสามารถกำหนดทิศทางความไปของตลาดได้หากแบรนด์สินค้าของเราเป็นผู้นำตลาด แน่นอนว่ายิ่งแบรนด์สินค้าติดตลาดและเป็นผู้นำในตลาดมากเท่าไหร่ ผู้ประกอบการก็สามารถบังคับกลไกตลาดให้เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของตนได้มากขึ้นตามไปด้วย

การเขียนโฆษณาและประชาสัมพันธ์

ความหมายของการเขียนโฆษณาและประชาสัมพันธ์
        “การโฆษณา” (Advertising) หมายถึง การนำเอาแนวความคิด สินค้า หรือบริการมาเสนอให้กับลูกค้า โดยใช้สื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง และมีการระบุตัวผู้ให้การสนับสนุนด้วย ในการนี้จะต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายในการใช้สื่อนั้นๆ เช่น การโฆษณาสินค้าอย่างหนึ่งทางหนังสือพิมพ์ผู้ขอให้มีการโฆษณาหรือผู้สนับสนุน มีจุดมุ่งหมายเพื่อแนะนำหรือส่งเสริมการขายสินค้านั้น จึงต้องจ่ายเงินค่าเช่าเนื้อที่การโฆษณา ตามที่หนังสือพิมพ์กำหนด การโฆษณาจึงจะเกิดขึ้น จะเป็นการโฆษณาโดยใช้สื่ออย่างอื่นก็เช่นกัน
        มีคำอีกคำหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กัน แต่มีความหมายต่างกัน คือ “การโฆษณาชวนเชื่อ” (Propaganda)  ซึ่งเป็นการชักจูงหรือชักชวนบุคคลให้มีความเห็นคล้อยตามหรือมีความเชื่อตามคำชักชวนนั้นๆ เนื้อหาการชักชวนอาจะเป็นไปในทางดีหรือไม่ดีก็ได้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้รับเกิดความเชื่อตามที่ตนชักชวน โดยมิได้คำนึงถึงหลักความจริง เพียงแต่เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้เท่านั้น นิยมนำมาใช้ทางการเมือง จึงอาจจะมีทั้งเรื่องจริงและเรื่องไม่จริง
        “การประชาสัมพันธ์” (Public Relation) เป็นการสื่อสารแนวคิด ข่าวสาร ข้อเท็จจริง ระหว่างหน่วยงาน สถาบัน กับประชาชน เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน การประชาสัมพันธ์จึงอยู่บนรากฐานของการสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างหน่วยงาน หรือสถาบัน กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง หน่วยงานหรือสถาบันก็ต้องมีการเผยแพร่ข่าวสารให้ประชาชนหรือผู้เกี่ยวข้องทราบ และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ยอมรับ ร่วมมือ ศรัทธา อันจะบังเกิดผลดีต่อการดำเนินงานด้วยความราบรื่น ปราศจากปัญหาข้อยุ่งยากต่างๆ

จุดมุ่งหมายของการโฆษณา
        การโฆษณามีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันตามโอกาสและตามเวลาที่แตกต่างกัน ดังนี้
        1.  เพื่อแนะนำให้รู้จักสินค้านั้นๆ และ/ หรือ บริการใหม่ สำหรับกลุ่มเป้าหมายนั้นๆ
        2.  เพื่อให้ข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับลักษณะ และคุณประโยชน์ของสินค้า และ/ หรือบริการ
        3.  เพื่อสร้างแรงจูงใจ เร้าใจ หรือดึงดูดใจ ให้เกิดขึ้นกับสินค้า และ/ หรือบริการนั้น
        4.  เพื่อเป็นการย้ำให้สินค้า หรือบริการนั้น อยู่ในความทรงจำของผู้บริโภคตลอดไป
        5.  เพื่อเป็นการเอาชนะคู่แข่งขันในการจำหน่ายสินค้า หรือบริการ ประเภทเดียวกัน
        6.  เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อถือในสินค้า หรือบริการให้เป็นที่ยอมรับ อันจะส่งผลถึง
การจำหน่ายสินค้าหรือบริการของผู้ผลิตคนเดียวกัน
7. เพื่อส่งเสริมการใช้สินค้าหรือบริการให้มากยิ่งขึ้น อันจะส่งผลถึงการขยายตลาดสินค้า
หรือบริการนั้นให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
จุดมุ่งหมายของการประชาสัมพันธ์
        1.  เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างองค์กร สถาบัน หรือหน่วยงาน กับประชาชน ด้วยการแจ้งธุรกิจของตน ให้ประชาชนทราบ เพื่อให้ได้เลือกใช้บริการ หรือให้ความร่วมมือได้ถูกต้องและเหมาะสม
        2.  เพื่อให้องค์กร สถาบัน หรือหน่วยงาน ได้ทราบความคิดเห็นของประชาชนอันจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้
        3.  เพื่อสร้างความศรัทธา ความนิยมให้เกิดขึ้นกับองค์กร สถาบัน หรือหน่วยงานนั้นๆ
        4.  เพื่อรักษาชื่อเสียงเกียรติยศขององค์กร สถาบัน หรือหน่วยงาน มิให้เสื่อมเสีย
        5.  เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารระหว่างองค์กร สถาบัน หรือหน่วยงาน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
        6.  เพื่อสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีให้เกิดขึ้นภายในองค์กร สถาบัน หรือหน่วยงาน อันจะเป็นผลให้การปฏิบัติงานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ

การเขียนข้อความโฆษณา
        ข้อความโฆษณา หมายถึง ส่วนประกอบทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นชิ้นงานโฆษณา เช่น ถ้าเป็นการโฆษณาทางสิ่งพิมพ์ ข้อความโฆษณา จะหมายถึงข้อความที่เป็นภาษาเขียน สัญลักษณ์ รูปภาพ เส้นกรอบ และเส้นประดับทั้งหมด ที่ปรากฏอยู่ในส่วนของโฆษณา โดยมีส่วนต่างๆ เพื่อการดึงดูดความสนใจ (Attention) การสร้างความน่าสนใจ (Interest) การทำให้เกิดความต้องการ (Desire) และการกระตุ้นให้เกิดการกระทำ (Action)
        การดึงดูดความสนใจ (Attention) มักใช้ข้อความสั้นๆ กะทัดรัดได้ใจความ เร้าใจให้อยากติดตามรายละเอียดอื่นๆ อาจสร้างเป็นรูปคำถามปริศนา หรือแง่คิด เช่น
                        “ทำไมยาสีฟันเหมือนกัน แต่ให้คุณค่าไม่เหมือนกัน”
                        “หายห่วงเรื่องผิวเสียเพราะแดดได้แล้วค่ะ”
        สิ่งเหล่านี้คือ “หัวเรื่อง” (Headline) ซึ่งทำหน้าที่ดึงดูดความสนใจ มีทั้งหัวเรื่องที่ให้ข่าวสาร บ่งบอกคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์ หัวเรื่องที่ทำให้อยากรู้อยากเห็น โดยใช้ข้อความที่ทำให้เกิดความสงสัย และหัวเรื่องที่บอกคุณภาพของผลิตภัณฑ์โดยตรง หัวเรื่องที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
        1.  สามารถเร้าให้เกิดความสนใจต่อผู้พบเห็น หยุดดู อ่าน หรือฟัง
        2.  ใช้ข้อความหรือรูปภาพที่ดึงดูดใจได้ดี
        3.  ใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่าย มีความหมายชัดเจน ตรงประเด็น
        4.  ใช้ข้อความที่สั้นกะทัดรัด
        5.  ข้อความที่กล่าวอ้างต้องมีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ
        6.  มีความสัมพันธ์ สอดคล้อง กลมกลืนกับข้อความอื่นในโฆษณา
        การสร้างความสนใจ (Interest) เมื่อส่วนหัวเรื่องสามารถดึงดูดความสนใจให้กลุ่มเป้าหมายหันมาสนใจได้แล้วก็จะต้องสร้างให้เกิดความสนใจที่จะศึกษารายละเอียดในข้อความโฆษณาต่อไป คือการแสวงหาคำตอบ  การเขียนต้องให้สั้น กะทัดรัด ชัดเจน ให้ผู้รับสารเข้าใจได้โดยง่ายในระยะเวลาอันสั้น โดยเฉพาะสาระที่สำคัญ
        การทำให้เกิดการกระทำ (Action)  เป็นความพยายามที่จะกระตุ้น เร้าใจให้กลุ่มเป้าหมายที่มุ่งหวังไว้แสดงพฤติกรรมซื้อผลิตภัณฑ์ หรือใช้บริการ เป็นส่วนท้ายของการโฆษณา โดยการสร้างความประทับใจ และให้เกิดความง่ายแก่การจดจำ นิยมใช้เป็นคำขวัญ (slogan) เช่น
                        “เนสที รสชุ่มคอหอมชื่นใจ”
                        “เปา เอ็ม วอช พลังซักล้ำหน้า เนื้อผ้าสะอาดทุกเส้นใย”

รูปแบบการประชาสัมพันธ์
        การประชาสัมพันธ์มี 2 รูปแบบ คือ
        1.  การประชาสัมพันธ์ภายในหน่วยงาน เป็นการประชาสัมพันธ์ที่มุ่งสร้างสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นภายในหน่วยงาน ระหว่างสมาชิกกับหน่วยงาน และระหว่างสมาชิกด้วยกันเอง เพื่อให้เกิดขวัญกำลังใจในการทำงาน มักออกมาในรูปแบบการประชุมปรึกษา การออกหนังสือเวียน จดหมายข่าว และการเปิดโอกาสให้สมาชิกแสดงความคิดเห็นในรูปแบบต่างๆ
        2.  การประชาสัมพันธ์ภายนอกหน่วยงาน  เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับบุคคลภายนอกหน่วยงาน หรือหน่วยงานอื่น เพื่อให้เข้าใจลักษณะการดำเนินงาน ขอบข่ายหน้าที่ และความรับผิดชอบของหน่วยงานตน อาจทำได้โดยออกเอกสาร สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออย่างอื่น เพื่อแนะนำชี้แจง และเผยแพร่ผลงานตามโอกาสอันสมควร

การเขียนข้อความประชาสัมพันธ์
         ต้องยึดหลักดังนี้
        1.  ข้อมูลที่เขียนจะต้องอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ให้ข่าวสารที่ถูกต้อง
        2.  ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ชัดเจน กะทัดรัด สละสลวย
        3.  แสดงด้วยรูปภาพ หรือสื่อที่มีลักษณะเป็นรูปธรรมมากที่สุด
        4.  ออกแบบสารให้เหมาะสมกับระดับของกลุ่มเป้าหมาย
        การเขียนสำหรับสื่อสิ่งพิมพ์ สามารถเลือกใช้ได้หลายรูปแบบตามความเหมาะสม ซึ่งอาจเขียนในรูปแบบจดหมายแจ้งไปยังผู้เกี่ยวข้อง แต่ต้องระมัดระวังการใช้ภาษาให้สามารถเข้าใจง่าย มีความชัดเจน ถ้าจัดทำเป็นแบบสิ่งพิมพ์เอกสารแนะนำ หรือจุลสาร จะต้องออกแบบให้ดึงดูดใจทำให้ชวนอ่าน รายละเอียดอาจมีมากน้อยแตกต่างกัน

ตัวอย่างโฆษณา

ฟรี
ซื้อนมผงดูเม็กซ์วันนี้  รับฟรี! ขวดนม pur มูลค่า  95  บาททันที
นมผงดูเม็กซ์คืนกำไรให้คุณง่ายๆ เพียงซื้อนมผงดูเม็กซ์วันพลัส หรือทรีพลัสขนาด 1,300 กรัม รับฟรีทันทีขวดนมทรงโค้งกันสำลักและท้องอืดสำหรับเด็กจากผลิตภัณฑ์    pur ทันที  วันนี้ – 30  สิงหาคม 2547

สุขภาพและความปลอดภัยของทารกและเด็กเป็นสิ่งที่บริษัทดูเม็กซ์ให้ความสำคัญสูงสุด

นมผงดูเม็กซ์ผลิตภัณฑ์ที่คุณแม่ทั่วโลกไว้วางใจ

เทคนิคและวิธีการโฆษณามีอะไรบ้าง

ปัจจุบันเราไม่ได้เห็นโฆษณาที่มาเป็นสปอต (Spot) อย่างเดียวแล้ว เพราะผู้ผลิตโฆษณา ผู้ผลิตสินค้าและบริการมีการสร้างสรรค์งานโฆษณาสูงมาก ทั้งรูปแบบ วิธีการ และเนื้อหา

โฆษณาบางชิ้นมีเนื้อหาเชื่อมโยงเกี่ยวกับเพศและครอบครัว เช่น การรักษาความสัมพันธ์ของสามี-ภรรยา หรือใช้การขายผลิตภัณฑ์ที่พ่วงเรื่องของความเชื่อเข้าไปด้วยเพื่อให้ผู้บริโภคมีความไว้ใจในตัวสินค้าเพิ่มมากขึ้น เช่น การใบ้หวย ดูดวง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ ซึ่งเราก็ต้องพิจารณาให้ดีว่าช่วยได้จริงหรือไม่

นอกจากนี้ ผู้ขายผลิตภัณฑ์หลายรายนิยมเปิดสถานีวิทยุ เคเบิลทีวี โทรทัศน์ดาวเทียม หรือแม้แต่ช่องของตนเอง เพื่อที่จะได้ออกอากาศขายสินค้าของตนเองตลอดเวลา ซึ่งเป็นการลดต้นทุนในการโฆษณา โดยการขายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ใช้บุคคลที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น เภสัชกรและนักแสดงมาให้ข้อมูลและกล่าวอ้างสรรพคุณทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อถือ สัมภาษณ์ผู้ที่เคยใช้แล้วได้ผล ก็คงต้องพิจารณาและเข้าใจว่า ดาราใช้จริงหรือไม่ หรือว่าขาว สวย หมวย อยู่แล้ว โดยไม่ต้องใช้ หรือจ้างใครมาบอกว่าใช้แล้วได้ผลหรือไม่

โฆษณาบางชิ้นอาจไม่ได้เสนอขายสินค้าตรงๆ แต่ขายภาพลักษณ์และความหมายสินค้าแก่เรา  ล่วงหน้าก่อน ทำให้เราอยากบริโภคโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนักโฆษณามองว่า ไม่ใช่การหลอกลวง แต่เป็นการบอก   ความจริงเพียงครึ่งเดียว ซึ่งทำให้มีเส้นแบ่งที่บางมากระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องแต่งที่เกินจริง และมีวิธีการที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน

วัตถุประสงค์ของงานโฆษณา





สมาคมการตลาดแห่งสหรัฐอเมริกา (AMA : American Marketing Association) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การโฆษณา คือ การจ่ายเงิน ในรูปแบบต่าง ๆ ของผู้อุปถัมป์ (Sponsor) เพื่อส่งเสริมการขายสินค้าบริการหรือสนับสนุนแนวความคิด โดยไม่ใช้ บุคคลไปเสนอโดยตรง

จากคำจำกัดความของนักวิชาการ ดังกล่าวข้างต้น พอจะสรุปรวมเป็นความหมายของการโฆษณาได้ว่า การโฆษณา หมายถึง การเสนอ ข่าวสารการขาย หรือ แจ้งข่าวสารให้บุคคลที่เป็นกลุ่มเป้าหมายทราบเกี่ยวกับสินค้า บริการ หรือแนวความคิด โดยเจ้าของสินค้า หรือผู้อุปถัมภ์ที่เปิดเผยตัวเองอย่างชัดแจ้ง มีการจ่ายเงินเป็นค่าใช้สื่อ และเป็นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ไม่ได้ใช้บุคคลเข้าไปติดต่อ โดยตรง

........................................................................  



1.3 วัตถุประสงค์ของงานโฆษณา

การโฆษณาเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจ (Comprehensive Advertising)
การให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับสินค้าและบริการ สามารถทำได้ดังต่อไปนี้ คือ

1. การโฆษณาให้ความรู้ เกี่ยวกับประเภทของสินค้าและบริการ เช่น สินค้าเกษตรกรรม สินค้าอุตสาหกรรม
2. การโฆษณาให้ความรู้ เกี่ยวกับความสำคัญของสินค้าและบริการโดยเฉพาะสินค้าที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต
    ของมนุษย์ เช่น อาหาร ยารักษาโรค
3. การโฆษณาให้ความรู้ เกี่ยวกับประโยชน์ของสินค้าและบริการ เช่น การโฆษณาคุณสมบัติของยารักษาโรค
4. การโฆษณาให้ความเข้าใจ เกี่ยวกับแนวคิดใหม่ของการโฆษณาเกี่ยวกับสินค้าและบริการโดยการใช้ชื่อโฆษณา     แบบใหม่ การใช้ความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนการทำให้ผู้บริโภคได้มีส่วนร่วมในการโฆษณา
5. การโฆษณาให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับกระบวนการผลิตสินค้า นับตั้งแต่เริ่มต้นจนสำเร็จเป็นสินค้าสำเร็จรูป



ad1-5  ad1-52

การให้ความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับบริการรถไฟฟ้ารับส่งในมหาวิทยาลัย
ผลงานโดย นายณภัทร  ผดุงผล ศิลปกรรม 49



การโฆษณาเพื่อให้ข่าวสาร (Informative Advertising)
ข่าวสารของการโฆษณาที่เป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคมีหลายประเภท คือ

1. ข่าวสารการตลาด เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพเหตุการณ์ของการตลาด
2. ข่าวสารการลงทุน เป็นการให้ข้อมูลทางด้านการลงทุนเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในสินค้าและบริการ
3. ข่าวสารสินค้าและบริการใหม่ เป็นการบอกกล่าวและให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าใหม่ หรือบริการใหม่ ๆ เพื่อให้ผู้บริโภค
    มีโอกาสพิจารณาเลือกซื้อ
4. ข่าวสารราคาสินค้าและบริการ เป็นการใช้ข้อมูลด้านราคาเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจและนำไปสู่การซื้อสินค้าและบริการ
5. ข่าวสารการส่งเสริมการขาย เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการขาย เช่น การตลาด การแจกการแถม ของกำนัล เป็นต้น

ad1-6   ad1-62

การส่งเสริมการขาย เป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการขาย
ผลงานโดยสุรศักดิ์ สุจริตตรานนท์ และอนุชา  บุณคง
Advertising Agency: BBDO Bangkok



การโฆษณาเพื่อชักจูงใจ (Persuasive Advertising)
การโฆษณาเพื่อชักจูงใจนั้นจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจให้เกิดกับผู้บริโภค ทำให้เกิดการคล้อยตามที่จะซื้อสินค้าและ
บริการ สามารถใช้หลักการดังนี้ คือ

1. จูงใจให้เกิดความสนใจที่จะซื้อสินค้าและบริการ - การโฆษณานี้ ต้องชี้แนะให้ผู้บริโภคเกิดความประสงค ์ในการใช้
    สินค้าและบริการ เมื่อผู้บริโภคใช้สินค้าและบริการแล้ว จะมีความสะดวกสบาย
2. จูงใจให้เกิดความประทับใจในสินค้าและบริการ - การโฆษณาต้องสร้างความประทับใจกับผู้บริโภค โดยใช้ศิลปะของ
    การสื่อสารเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความอยากรู้ อยากเห็น เร้าอารมณ์ ก่อให้เกิดความรู้สึกคล้อยตาม และเกิดความ
    ประทับใจในคุณภาพและบริการ
3. จูงใจให้เกิดความพึงพอใจในสินค้าและบริการ - การโฆษณานี้ต้องสร้างภาพพจน์ของสินค้าและบริการ ให้สอดคล้อง
    กับความพึงพอใจของผู้บริโภค โดยเอาจุดเด่นของสินค้าและบริการมาสร้างสรรค์งานโฆษณา
4. จูงใจให้เกิดความภูมิใจในสินค้าและบริการ - การโฆษณาในลักษณะนี้มักนำเอาบุคคลสำคัญ และเป็นที่รู้จักมาเป็น
    แบบในโฆษณา เพื่อให้ผู้บริโภคทั่วไปเห็นว่า บุคคลสำคัญยังใช้สินค้าและบริการชนิดเดียวกับตน จึงเกิดความภาคภูมิ
    ใจเมื่อใช้สินค้าและบริการนั้น



ความหมายของงานโฆษณา

ความหมายของ "โฆษณา" มีการให้คำนิยามที่แตกต่างกันไป ซึ่งสามารถรวบรัดได้ดังต่อไปนี้

"โฆษณา" หมายถึง รูปแบบการใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสาร โดยไม่ใช้บุคคลเกี่ยวกับองค์การผลิตภัณฑ์ บริการ หรือความคิดโดยผู้อุปถัมภ์ ที่ระบุชื่อ ความหมายนี้ยังเป็นความหมาย ของสมาคมการตลาดแห่งสหรัฐอเมริกา (The American Marketing Association หรือ AMA) ได้บัญญัติไว้ จะเห็นว่าลักษณะของการโฆษณามีดังต่อไปนี้

A.R. Oxenfeldt and C. Swan กล่าวว่า "การโฆษณาเป็นการสื่อสารโน้มน้าวใจจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ โดยมิ ได้เป็นไปในรูปส่วนตัว"

Maurice I. Mandell ให้คำจำกัดความว่า "การโฆษณา หมายถึง รูปแบบการส่งเสริมการขายผ่านสื่อโฆษณา ที่มิใช่บุคคล และต้องชำระ เงินโฆษณาโดยผู้อุปถัมภ์ ซึ่งการโฆษณานี้มีความหมายแตกต่างไปจากการส่งเสริม การขายรูปแบบอื่น ๆ เช่น การขายโดยพนักงาน และการ ส่งเสริมการจำหน่าย เป็นต้น"

S.W. William Pattis กล่าวว่า "การโฆษณา หมายถึง การสื่อสารในรูปแบบใด ๆ ซึ่งเจตนาที่จะกระตุ้นผู้ที่มี ศักยภาพในการซื้อและการ ส่งเสริมในด้านการจำหน่ายสินค้าและบริการ รวมถึงการสร้างประชามติ การกระทำการ เพื่อก่อให้เกิดการสนับสนุนทางการเมือง การขาย ความคิดหรือการเสนอความคิดเห็น หรือสาเหตุต่างๆ และการ กระทำ เพื่อให้ประชาชนเห็นคล้อยตาม หรือปฏิบัติไปในทางที่ผู้โฆษณาประสงค์"

ดร.เสรี วงษ์มณฑา ได้ให้ความหมายไว้ว่า การโฆษณา คือ กิจกรรมสื่อสารมวลชนที่เกิดขึ้น เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภค มีพฤติกรรมอันเอื้อ อำนวยต่อความเจริญของธุรกิจ การขายสินค้าหรือบริการ โดยอาศัยจากเหตุผล ซึ่งมีทั้งกลยุทธ์ จริงและเหตุผลสมมติ ผ่านทางสื่อโฆษณาที่ต้อง รักษาเวลาและเนื้อที่ ที่มีการระบุบอกผู้โฆษณาอย่างชัดแจ้ง
สมาคมการตลาดแห่งสหรัฐอเมริกา (AMA : American Marketing Association) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การโฆษณา คือ การจ่ายเงิน ในรูปแบบต่าง ๆ ของผู้อุปถัมป์ (Sponsor) เพื่อส่งเสริมการขายสินค้าบริการหรือสนับสนุนแนวความคิด โดยไม่ใช้ บุคคลไปเสนอโดยตรง

จากคำจำกัดความของนักวิชาการ ดังกล่าวข้างต้น พอจะสรุปรวมเป็นความหมายของการโฆษณาได้ว่า การโฆษณา หมายถึง การเสนอ ข่าวสารการขาย หรือ แจ้งข่าวสารให้บุคคลที่เป็นกลุ่มเป้าหมายทราบเกี่ยวกับสินค้า บริการ หรือแนวความคิด โดยเจ้าของสินค้า หรือผู้อุปถัมภ์ที่เปิดเผยตัวเองอย่างชัดแจ้ง มีการจ่ายเงินเป็นค่าใช้สื่อ และเป็นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ไม่ได้ใช้บุคคลเข้าไปติดต่อ โดยตรง

โฆษณาอย่างไรจึงจูงใจ

  ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการ ว่าจ้างให้มาช่วยเหลือเรื่องการขายสินค้า ได้พิจารณา วิเคราะห์ และถกเถียงกันในหลากหลายหัวข้อ ที่หลายๆขั้นตอนของกระบวนการจูงใจ พวก เขามองหาความร่วมมือ และความเข้าใจที่ลึกซึ้งเพื่อที่จะได้ส่งข้อความและวางตำแหน่งของตราสินค้าได้ชัดเจนมากขึ้น พวกเขาศึกษาและพยายามที่จะพัฒนาทุกๆ การสร้างสรรค์ ของพวกเขาอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสี อุปกรณ์ประกอบฉาก นักแสดง และขนาดของภาพ หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารนั้นๆ ผู้เชี่ยวชาญบางคนถกเถียงและวิเคราะห์กระบวนการส่งข้อความให้กับผู้บริโภค ด้วยการเลือกสื่อและวิธีการที่จะใช้ ทั้งหมดนี้คืองานที่ต้องทำเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้ผลตาม ที่ต้องการ ซึ่งสุดท้ายแล้วทุกๆขั้นตอนในกระบวนการต่างมีเป้าหมายเพื่อ ให้ได้ผลลัพธ์เดียวเท่านั้น คือ ความสำเร็จทางการค้า
     
     เมื่อกระทำอย่างจริงจัง กระบวนการจูงใจก็ประสบผลอย่าง แท้จริง เพราะไม่เช่นนั้น เราก็คงไม่ ได้เห็นการเติบโตของ เศรษฐกิจภาพลักษณ์ ที่เกิดขึ้นตลอด 100 ปีที่ผ่านมา คงไม่มีตราสินค้าชื่อดังที่เราจำได้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม นักโฆษณาหลายคนมีความคิดต้อง การให้กระบวนการนี้มีรูปแบบหรือ วิธีการที่แน่นอนเพื่อรับประกันความสำเร็จในทุกครั้งที่ทำ พวกเขา ต้องการรู้ว่าถ้าใช้เงินจำนวน x บาท สำหรับความพยายามต่างๆแล้ว เขาจะได้ผลตอบแทนจากยอดขายและมูลค่าของตราสินค้าจำนวนกี่บาท นักโฆษณาคาดหวังความสำเร็จที่ยั่งยืนโดยเฉพาะจากคุณ-สมบัติของภาพลักษณ์ที่เขาสร้างขึ้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในธุรกิจ การสื่อสาร เพราะมันไม่มีอยู่ ความ สำเร็จไม่เคยเป็นสิ่งที่รับประกันได้
     
     กระบวนการสร้างภาพ-ลักษณ์เป็นเพียงแนวทาง ไม่เหมือน กับกระบวนการผลิต คุณไม่สามารถ ใส่สูตรลงไปในวิธีการปฏิบัติเพื่อให้ได้ภาพลักษณ์ที่ดีกว่า ถึงแม้ จะนำ ความพยายามที่ดีที่สุดทุกทาง ในการประยุกต์วิทยาศาสตร์หรือหลักเหตุผลเข้ามาใช้ในกระบวนการ แต่มันก็ยังคงมีขอบเขตที่กว้างของ การตีความ เพราะความสำเร็จ มักจะขึ้นอยู่กับทักษะและความเข้าใจอันลึกซึ้งของคน ซึ่งเป็นสิ่ง ที่ไม่สามารถจับต้องได้ นี่คือเหตุผล ที่ทำให้กระบวนการจูงใจไม่ใช่สิ่งสมบูรณ์แบบ
     
     สาเหตุ 4 ข้อของความล้มเหลว
     
     มีเหตุผลสำคัญบางอย่างว่าทำไมกระบวนการจูงใจจึงล้มเหลวบ่อย เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ควรพิจารณาเพราะมันแสดงให้เห็นถึงปัญหาที่สำคัญของการสื่อสารที่นักโฆษณาส่วนใหญ่ต้องให้ความสนใจ ถ้าต้องการความสำเร็จ
     
     1.ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับผู้บริโภค บ่อยครั้งที่การกำหนดกลุ่ม เป้าหมายพื้นฐาน ไม่ได้เข้าลึกพอที่ จะทำให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่อง แท้เกี่ยวกับผู้บริโภคที่บริษัทคาดหวังว่าจะซื้อสินค้าของเขา หากสมมติฐานเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายไม่เพียงพอหรือผิดตั้งแต่เริ่ม ส่วนที่เหลือของกระบวนการก็จะกลายเป็นปัญหา และผลคือข้อความที่ส่ง ออกไปก็จะไม่จูงใจกลุ่มเป้าหมายของบริษัท
     
     2. ผู้บริโภคไม่รู้สึกว่าข้อความที่ได้รับมีความเกี่ยวข้องกับตัวเอง นักโฆษณาเป็นเพียงด้านเดียวของสมการ ในความเป็นจริงแล้ว กระบวนการจูงใจต้องประกอบด้วย 2 ด้าน คือ นักโฆษณาและผู้บริโภค เสมอ กระบวนการที่จะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ผู้บริโภคต้องรู้สึกกับข้อความที่ได้รับว่า มันมีความเกี่ยวข้องกับเขาทั้งด้านอารมณ์และเหตุผล โชคร้ายที่หลาย ภาพลักษณ์ไม่สามารถเข้าถึงจิตใจของผู้บริโภคได้
     
     3.ข้อความส่วนใหญ่ขาดความสร้างสรรค์ ข้อความต้องมีความขัดเจนในสิ่งที่ต้องการสื่อสาร และต้องสามารถเข้าถึงผู้บริโภค ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพและการเป็นที่สังเกตเห็นได้ของข้อความ ไม่เช่นนั้นมันก็เหมือนการเฆี่ยนตีผู้บริโภคด้วยกระดาษทิชชู ซึ่งเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลย และความพยายามของผู้ต้องการสื่อสารก็จะไม่เกิดประโยชน์อันใดเลยเช่นกัน หาก ไม่ได้ใช้เสียงที่เหมาะสมเพื่อให้ถึงหูผู้บริโภค

     4.การนำเสนอที่ประสบผลทำได้ยาก ประการสุดท้าย การสร้างการนำเสนอที่ประสบผลนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เศรษฐกิจภาพลักษณ์ ทำให้บริษัทต่างๆ มีทางเลือกของสื่อและพื้นที่แสดงสินค้าที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภค แต่ก็สร้างความวุ่นวายให้อย่างมาก ด้วยเช่นกัน เจ้าของสินค้าหลายยี่ห้อ พบว่ามันยากที่จะไปถึงไประดับที่ต้องการเพื่อให้ผู้บริโภคจดจำข้อ ความที่ส่งออกไปได้ เพราะในขณะที่ต้องการนำเสนอบ่อยๆเพื่อให้ผู้บริโภคจดจำตราสินค้าได้ แต่บางครั้งการนำเสนอซ้ำบ่อยเกินไปก็กลายเป็นการสร้างความรำคาญให้กับผู้บริโภคจนทำให้เกิดผลในทางลบกับตราสินค้าได้เหมือนกัน
     
     มีสินค้าหลายยี่ห้อที่แทบไม่ได้รับความสนใจเลยหลายยี่ห้อที่ถูกลืมได้ง่ายๆ ไม่มีอะไรที่แสดงให้ เห็นได้ชัดเจนเท่ากับการทดสอบที่เรียกว่า "clutter reel"เป็นการนำ โฆษณาสินค้าหลายๆ ยี่ห้อมาฉายให้ผู้บริโภคดู ซึ่งพบว่ามีรายละเอียดของโฆษณาจำนวนมากที่ผู้บริโภคไม่สามารถจดจำได้หลังจากที่เพิ่งดูจบแค่ไม่กี่นาที นี่ไม่ได้ พูดถึงเวลาเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน เราดูกันแค่เป็นนาทีเท่านั้น ภาพลักษณ์ที่คนเห็นชั่วขณะที่เขาจุดบุหรี่นั้นสามารถจะหายไปจากใจได้ทันทีที่เขาดับบุหรี่ ภาพลักษณ์ถูก ลืมไปได้เร็วมากอย่างน้อยก็จากความทรงจำที่มีสติของคนเรา ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องพิเศษผิดธรรมดา นี่คือเรื่องปกติ
             
     ถอดรหัสผู้บริโภค
     
     หลายบริษัทกระบวนการจูงใจ ทำให้ความล้มเหลวในการขายสินค้ามีมากขึ้น มันอาจจะเคยเพียง พอในอดีตตอนที่โลกของสื่อและตราสินค้ายังไม่ได้แข่งขันกันสูงอย่างเช่นปัจจุบัน แต่โดยเฉพาะทุก วันนี้ ทุกๆความท้าทายในเศรษฐกิจ ภาพลักษณ์ต้องการความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้น มีเพียงภาพลักษณ์ที่พัฒนาอย่างดีเท่านั้นจึงจะสามารถแหวกฝ่าบรรดาข่าวสารที่ทับถมเข้า สู่ผู้บริโภคทุกๆ วันได้ ความสำเร็จ จึงขึ้นอยู่กับการหาวิธีที่ดีกว่าในการสร้างภาพลักษณ์และพัฒนากระบวนการจูงใจ
     
     อำนาจของภาพลักษณ์นั้นมีความสำคัญ และอย่างไม่มีเงื่อนไข มันคือสิ่งจำเป็นอันดับต้นๆ ที่ต้องทำเพื่อความสำเร็จทั้งในวันนี้และวันหน้า หลายบริษัทลงทุนจำนวนมาก เพื่อจ้างผู้เชี่ยวชาญในการถอด รหัสของการสร้างและรักษาตรา สินค้า จัดการกับบุคลิกของตรา สินค้า และสร้างการสื่อสารที่มีความ สามารถทะลุทะลวง ผู้รู้ทางการตลาดและวิจัยได้นำเสนอเทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยหาวิธีที่ดี กว่าในการ สื่อสาร พวกเขาค้นหาความเข้าใจที่ลึกซึ้งใหม่ๆ เกี่ยวกับผู้บริโภคที่จะช่วยให้การติดต่อดีขึ้น เช่น วิธีการสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์กลุ่ม และการวิเคราะห์ทางสถิติ บางบริษัทถึงขนาดตั้งกล้องไว้ในบ้านของผู้บริโภคเพื่อดูชีวิตประจำวันของพวกเขา
     
     ข้อบกพร่องยิ่งใหญ่ที่สุดของบรรดาเทคนิคต่างๆ และของผู้ที่เรียกว่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ก็คือพวก เขาทำมากกว่าการท่องจำพื้นฐานของกระบวนการจูงใจเพียงนิดเดียวเท่านั้น พวกเขาสนใจเพียงว่า คนคิดและปฏิบัติเกี่ยวกับสินค้าและวิถีชีวิตอย่างไรบ้าง โดยไม่ได้มีการสร้างรูปแบบการติดต่อใหม่ๆ กับกลไกทางจิตวิทยาภายในของผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้รู้ว่ามีที่มาของความคิดและความรู้สึกอย่างไร ธรรมเนียมของการตลาดและการโฆษณามักจะกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง หรือเป็นวิธีการใหม่ที่ไม่ใช่ของจริง ซึ่งทำ ให้ไม่สามารถเข้าถึงประเด็นที่เป็นหัวใจว่าอะไรคือสิ่งที่ก่อให้เกิดการติดต่อที่สำคัญกับผู้บริโภค พวกเขา จึงล้มเหลวในการเข้าถึงระดับของการถอดรหัส
     
     ความท้ายทายต่อไปที่ต้องพิจารณาก็คือ จะเข้าถึงรหัสต้น แบบได้อย่างไร เพื่อหากุญแจของการสร้างการติดต่อกับผู้บริโภคให้ดีขึ้น ความจริงก็คือต้นแบบนั้นมีอยู่ในส่วนลึกของจิตใจพวกเราทุกคนอยู่แล้ว เราต่างก็มีและใช้มัน ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องขุดมากเราก็สามารถจะดึงพลังของมันให้ปรากฏได้

วิธีการโฆษณาสินค้าในโลกออนไลน์ และรู้จักการทำร้านค้าให้ดีเพื่อดึงดูดใจลูกค้า

วิธีโฆษณาสินค้าจากอดีตเมื่อ 10 ปีก่อน ที่ผ่านมาซึ่งเป็นการโฆษณาที่เน้นในรูปแบบ offline มักได้ผลดีแต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ผู้ประกอบการบางคนรับไม่ได้กับส่วนต่างที่ต้องเสียไปก็มักจะหาช่องทางใหม่ๆ ในการโฆษณาสินค้าของตนเองให้เป็นที่รู้จักโดยตั้งงบการโฆษณาให้น้อยที่สุด เพื่อให้ได้กำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงเริ่มเข้ามาสู่การโฆษณาในรูปแบบ online ดังในปัจจุบันซึ่งต้องถือว่าเป็นช่องทางที่ใหม่ สำหรับผู้ประกอบการหลายๆคนที่ยังไม่ค่อยจะรู้จักว่าโลกออนไลน์เป็นอย่างไร หรือเป็นโลกที่จะแสวงหาลูกค้าได้จริงหรือไม่เราจะมีรู้จักกันให้มากยิ่งขึ้น กับโลกออนไลน์และวิธีโปรโมทสินค้าผ่านทางช่องทางต่างๆ


โลกออนไลน์นั้นเป็นโลกอีกใบหนึ่งที่ไม่ต่าง จากโลกแห่งความจริงเท่าไหร่นักผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาใช้งานใน online ก็คือคนจริงๆที่อยู่ในโลกของเรานี่ล่ะครับ พวกเขาเข้ามาสู่โลกออนไลน์ได้ก็โดยผ่านทางคอมพิวเตอร์ตามบ้าน หรือสำนักงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ในปัจจุบันนี้พวกอุปกรณ์สื่อสารอย่างโทรศัพท์มือถือ ก็สามารถที่จะเชื่อมต่อเข้าสู่โลกออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย โลกในความเป็นจริงของคนเรามีเวลาหยุดพักสำหรับคนทำงาน หรือคนทั่วไปที่เดินตามท้องถนน ไม่เว้นแม้แต่ตลาดนัด แต่โลกออนไลน์นั้นมีผู้คนเข้าออกตลอด 24 ชั่วโมง เพราะมันเชื่อมต่อกันได้ง่าย ไม้เว้นแม้แต่คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ยังสามารถกดมือถือเพื่อเปิดอินเตอร์เน็ต เข้ามาดูเว็บนั้นเว็บนี้ได้ เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้คุณคงอยากที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในโลกออนไลน์กันบ้าง แล้ว แต่จะเข้าถึงอย่างไรดีหากเราไม่มีความรู้ด้านนี้เลย บอกตรงๆว่าไม่ยากครับหากคุณได้อ่านบทความเรื่องนี้จนจบ วันนี้ผมเองจะขอนำเสนอช่องทางต่างๆที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่กำลังต้อง การโปรโมทสินค้าหรือบริการต่างๆให้คนทั่วไปได้รู้จักมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายอีกทางหนึ่ง แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นเราต้องมาเตรียมความพร้อมกันเสียก่อนว่าสินค้าของเรา เหมาะไหมที่จะนำมาขายในสื่อออนไลน์ และอะไรบ้างที่จะเรียกความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อสินค้าได้


วิธีสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ชมที่จะเข้ามาเป็นลูกค้าของคุณในอนาคต

1. เปิดเว็บไซต์ร้านค้าของตนเอง ซึ่งเว็บร้านค้านั้นมีประโยชน์อย่างมากในด้านการเป็นสื่อกลางให้กับผู้สนใจ ได้เข้ามาเลือกดูสินค้าในร้าน เปรียบได้กับร้านค้าสาขาที่สองของคุณซึ่งอยู่ในโลกออนไลน์ การให้ความสำคัญกับหน้าเว็บก็มีส่วนช่วยดึงดูดให้ลูกค้าอยู่หน้าเว็บของคุณ ได้นานขึ้นด้วย ยิ่งลูกค้าอยู่หน้าเว็บของคุณได้นานเท่าไหร่ โอกาสที่จะมีการเลือกชมสินค้าทุกชิ้นที่มีอยู่ในร้านก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญกับการออกแบบเว็บร้านค้าให้ดูดีน่าสนใจ เน้นโทนสีที่เหมาะกับตัวสินค้า ตัวอักษรอ่านง่าย คุณสามารถสร้างจุดดึงดูดด้วย วีดีโอ หรือรีวิวสินค้า และอื่นๆตามที่คุณเห็นว่ามันจะไม่รกจนเกินไป สำหรับการจัดทำเว็บร้านค้าออนไลน์นั้นหากคุณไม่มีความรู้เรื่องเว็บเลยก็ สามารถสมัครใช้บริการกับเว็บร้านค้าออนไลน์ต่างๆได้ ซึ่งในอินเตอร์เน็ตนั้นมีมากมายหลายผู้ให้บริการทั้งฟรีและไม่ฟรี


2. ตั้งชื่อร้านให้ดูเด่นและไม่ยาวจนเกินไป ร้านค้าก็ต้องมีชื่อร้านเพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถจดจำได้ง่าย ไม่ยืดยาวหรือใช้ข้อความที่สลับซับซ้อนจนเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง www ของร้านค้าเองยิ่งต้องให้ความสำคัญมากขึ้นไปอีก อ่านเรื่องความสำคัญของโดเมนก่อนจดโดเมนเพื่อผลประโยชน์ของตัวคุณเองได้ตามลิงค์นี้ http://www.thaigetlink.com/domain.php

3. ข้อมูลการติดต่อร้านค้า เรื่องเล็กที่ไม่เล็ก หากคุณมีร้านค้าออนไลน์แล้ว ควรใส่ข้อมูลการติดต่อให้ชัดเจนหรือหากคุณมีหน้าร้านอยู่แล้วให้นำภาพหน้า ร้านมาลงด้วยในเมนูการติดต่อร้านค้าจะยิ่งเพิ่มความน่าเขื่อถือให้กับลูกค้า ได้มากทีเดียว เพราะลูกค้าก็กลัวถูกหลอก กลัวเอารูปสินค้ามาลงแต่ไม่มีสินค้าจริง อย่างน้อยการมีหน้าร้านบอกที่ตั้งชัดเจน รวมทั้งเบอร์โทรศัพท์ติดต่อของร้านก็มีผลต่อความน่าเชื่อถือของลูกค้ามากมาย ทีเดียว ดังจะเห็นจากหลายๆคนที่มักจะคลิกที่เมนูติดต่อเราของเว็บร้านค้าเพื่อดู ข้อมูลก่อนที่จะตัดสินใจจ่ายเงินค่าสินค้า

4. รูปสินค้าต้องมีลายน้ำ ในกรณีที่คุณถ่ายภาพสินค้าเองควรอย่างยิ่งที่จะพิมพ์ลายน้ำลงในภาพ เนื่องจากในปัจจุบันเราพบว่ามีการละเมิดลิขสิทธิในเรื่องรูปภาพสินค้ากันมากขึ้น นั่นคือมีผู้นำภาพสินค้าจากอีกเว็บไปโฆษณาอีกเว็บเพื่อขายสินค้าที่เหมือนกันโดยที่คุณไม่ทราบมาก่อน ดังนั้นทางออกจึงต้องทำการใส่ลายน้ำไว้ที่ภาพด้วยเพื่อบ่งบอกว่าภาพนี้มาจากเว็บร้านค้าของคุณ ตัวอย่างการใส่ลายน้ำดังภาพด้านล่างนี้

5. กำหนดราคาสินค้าให้ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป ให้มองดูคู่แข่งที่ขายสินค้าเหมือนกับเราในโลก online ด้วยกันว่าเขาขายกันราคาแตกต่างมากน้อยเพียงใด เราอาจใช้ google ในการค้นหาชื่อสินค้าของเราเพื่อตรวจสอบเว็บทั้งหมดที่ google เก็บไว้ว่ามีเว็บใดบ้างที่ขายสินค้าเหมือนกับเราเพื่อรู้เขารู้เรา คุณจะได้กำหนดราคาที่จะขายได้อย่างลงตัวเพื่อไม่ให้คู่แข่งของคุณได้เปรียบ ในเรื่องราคาที่ถูกมากจนเกินไปจนเป็นการตัดราคาและแย่งลูกค้าของคุณไปหมด แต่ในกรณีที่ไม่มีคู่แข่งในสินค้าตัวเดียวกันคุณก็อาจกำหนดราคาสินค้าชิ้น นั้นได้อย่างอิสระ

6. พร้อมที่จะตอบคำถามหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้าหรือสินค้าที่นำเสนอ การขายสินค้าในโลกออนไลน์ สินค้าบางอย่างก็ไม่สามารถที่จะสั่งซื้อได้เลยในทันที โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นอาหารเสริม โลชั่น ครีม เครื่องสำอางต่างๆที่คุณผู้หญิงมักใช้กัน ผู้ซื้อจึงต้องการความมั่นใจจากผู้ขายจนบางครั้งก็อาจจะโทรเข้าไปเพื่อสอบถาม วิธีใช้ คุณสมบัติต่างๆของสินค้า หรืออาจจะเป็นการโทรเข้าไปเพราะอยากรู้ว่าคนขายมีตัวตนหรือเปล่า ดังนั้นผู้ขายจึงต้องมีความพร้อมที่จะตอบคำถามลูกค้าด้วย

7. กำหนดเวลาในการจัดส่งให้กับร้านค้าของตัวเอง เช่นส่งทุกวันเวลา 9.00 น และหมั่นแจ้งเลขติดตามพัสดุ ให้กับลูกค้าของคุณหรือหากเป็นไปได้ควรแจ้งเลขเลขติดตามผ่านทางหน้าเว็บของ คุณด้วยเพื่อให้ผู้ชมที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อสินค้าได้เห็นว่าร้านของคุณส่ง สินค้าให้กับผู้รับจริงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้า

วิธีการโปรโมทร้านค้าออนไลน์

เว็บไซต์ในโลก online นั้นมีมากมายให้เราโปรโมท บางเว็บก็เปิดขึ้นเพื่อให้เรานำสินค้าไปลงประกาศขายได้ทันที บางเว็บไม่อนุญาติให้โปรโมทสินค้า ดังนั้นก่อนที่จะโฆษณาใดๆลงไปในเว็บอื่นๆควรดูนโยบายของทางเว็บนั้นๆด้วยนะ ครับจะได้ไม่ถูก BAN USER หรือ ID สำหรับเว็บต่างๆด้านล่างที่ยกตัวอย่างมานั้น เป็นเว็บที่คุณสามารถนำสินค้าหรือบริการไปโฆษณาได้ทันที




1. เว็บลงประกาศซื้อขายสินค้าต่างๆ อาทิเช่น www.NNplaza.com ซึ่งเป็นเว็บสื่อกลางในการโฆษณาที่เปิดให้คุณสามารถเข้าไปโพสโฆษณาฟรีได้ นอกจากนี้ก็ยังมีเว็บในลักษณะนี้อีกมากมาย

ตัวอย่าง Fan page ร้านค้าใน facebook ที่ขายเครื่องสำอางของร้านแห่งหนึ่ง

2. สร้าง Fan page ใน Facebook เชื่อมต่อกับสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้จำนวนมากเพื่อส่งผู้เยี่ยมชมเข้ามายัง หน้าเว็บของคุณ หรืออาจจะใช้มันในการขายสินค้าไปเลยก็ได้แต่แนะนำว่าให้ทำลิงค์เชื่อมต่อ เข้าเว็บร้านค้าของคุณด้วยจะดีที่สุดเพื่อเพิ่มคะแนน SEO ให้เว็บร้านค้าของคุณเอง (สำหรับเรื่องลิงค์และความสำคัญของลิงค์ คุณสามารถศึกษาได้จาก www.ThaiGetLink.com)



ผู้ให้บริการเพิ่มลิงค์เข้าสู่สารบัญเว็บไซต์ไทย ในนาม ThaiGetLink.com

3. เพิ่มลิงค์ร้านค้าไปยังสารบัญเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อสร้างความแรงให้กับร้านค้าของคุณ มีผลทั้งในการค้นหาของ google และเป็นการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมได้ดีอีกทาง สารบัญเว็บไซต์นั้นมีอยู่มากมายโดยเฉพาะเว็บวาไรตี้ที่มักมีระบบสารบัญเว็บไซต์ให้บริการ เมื่อคุณมีลิงค์ร้านค้าอยู่แล้วคุณก็สามารถเพิ่มเว็บของคุณไปร่วมโปรโมทกับเว็บเหล่านั้นได้ ซึ่งส่วนใหญ่ข้อมูลที่ต้องใช้ในการโปรโมทกับสารบัญเว็บไซต์จะมี URL หรือลิงค์ของคุณ / ชื่อเว็บไซต์ / คำบรรยาย วิธีค้นหาสารบัญเว็บไซต์ก็ไม่ยากเพียงเข้าไปที่ google โดยเลือกพิมพ์คำหาต่างๆเหล่านี้ไม่ว่าจะ เพิ่มเว็บ, เพิ่มลิงค์, add url, add link เป็นต้น หรือสมัครใช้บริการกับ www.ThaiGetLink.com ก็จะทำให้เว็บของคุณมีลิงค์ดีๆมาช่วยสนับสนุนให้ติดใน google ได้ไม่ยากนักหากเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพด้านเนื้อหาและคำค้นหาเว็บร้านค้าของ คุณไม่มีคู่แข่งมากจนเกินไป
ผู้ให้บริการเว็บบล็อกรายใหญ่ที่สุด ในนาม Blogger.com

4. บล็อก (blog) ก็เป็นเหมือนเว็บไซต์อีกเว็บหนึ่งที่เราสามารถสมัครใช้บริการและเพิ่มเนื้อหาเข้าไปได้เหมือนดังเช่นเว็บของเรา แตกต่างกันเพียงเราอาจจะไม่สามารถปรับแต่งอะไรได้ยืดหยุ่นเท่ากับเว็บที่เราเขียนขึ้นเอง การโปรโมทร้านค้าหรือสินค้าผ่านทางบล็อกก็เป็นอีกช่องทางที่ไม่ต้องเสียเงินแต่อย่างใด เพียงคุณสมัครบล็อกและเข้าไปนำเสนอสินค้าของคุณผ่านทางหน้าเพจของคุณเองที่สร้างขึ้น บล็อกโดยส่วนใหญ่จะไม่อนุญาติให้เรานำเสนอขายสินค้าโดยตรง แต่ก็มีหลายๆเว็บที่เปิดโอกาสให้เราสามารถโฆษณาสินค้าเราได้อย่างเต็มที่อาทิเช่น www.blogger.com
ภาพตัวอย่างเว็บสังคมอีกรูปแบบหนึ่งที่เน้นการแชร์ข่าวสาร ในนาม Twitter.com

5. การอัพเดทข่าวสารร้านค้าผ่านทาง Twitter เพื่อหาผู้ติดตาม หากคุณต้องการสร้างแหล่งกระจายข่าวสารของร้านค้าแล้วล่ะก็ Twitter ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ไม่ด้อยไปกว่า facebook สมัครสมาชิก twitter ได้ที่ https://twitter.com
ภาพตัวอย่างการรีวิวสินค้าผ่านทาง Youtube.com

6. Youtube เว็บไซต์รวมวีดีโอชื่อดังระดับโลกที่เปิดให้คุณสามารถแชร์วีดีโอให้ผู้อื่นรับชมได้ เวลานี้หากคุณมีความรู้ในด้านของการทำวีดีโอเพื่อแนะนำสินค้าแล้วล่ะก็ คงหนีไม่พ้นที่จะเอาวีดีโอแนะนำสินค้าไปเผยแพร่ผ่านทาง youtube อย่างแน่นอน เพราะ youtube มีผู้เข้าชมวีดีโอวันละหลายล้านคนจากทั่วโลก สมัครสมาชิก youtube ได้ที่ http://www.youtube.com
ภาพตัวอย่างการทำ adwords ที่แสดงโฆษณาผ่านการค้นหาของ Google.co.th

7. google adwords เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการโฆษณากับ google โดยคุณสามารถเลือกคำค้นหาที่ต้องการให้ปรากฏในการค้นหาที่ต้องการได้ การสมัคร adwords สามารถทำได้ด้วยตัวเองเพียงสมัครผ่านทาง https://adwords.google.com หรือหากคุณไม่มีความรู้ในการทำโฆษณา adwords ด้วยตนเองก็สามารถติดต่อผ่านทางผู้ให้บริการในประเทศได้ ตัวอย่างผู้ให้บริการ adwords ในประเทศอาทิเช่น www.ThaiGetLink.com

ทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคบางส่วนในการทำร้านค้าให้ประสบความสำเร็จ เทคนิคอื่นๆจะตามมาอีกมากมายหากคุณเริ่มทำ ทีมงานขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการขายสินค้า ร่ำรวยๆครับ

ผู้เขียน คุณ ทวีชัย โสภาวชิราดุสิตา

การโฆษณา

การโฆษณา (อังกฤษ: advertising) เป็นการประกาศสินค้าหรือบริการให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบ เป็นเครื่องมือสื่อสารทางการตลาดเพื่อบอกกล่าวให้ผู้บริโภครู้สึกถึงคุณค่าและความแตกต่าง รู้จักและก่อให้เกิดพฤติกรรมการซื้อสินค้าหรือใช้บริการนั้น[1] ในอดีตการเริ่มต้นของการโฆษณาจะเป็นลักษณะของการร้องป่าวประกาศเชิญชวน ปัจจุบันทำโดยเผยแพร่งานโฆษณา (อังกฤษ: advertisement) ผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ เป็นต้น โดยเจ้าของกิจการจะว่าจ้างบริษัทรับทำโฆษณา เพื่อทำการโฆษณาสินค้าและบริการในสื่อต่างๆ เช่น ป้ายโฆษณากลางแจ้งตามถนนสายหลัก ซึ่งเป็นสื่อที่ช่วยประหยัดงบประมาณได้และสามารถตอกย้ำตราสินค้าได้อีกทางหนึ่ง
ประวัติ[แก้]

โฆษณาสารานุกรมบริเตนนิกา ค.ศ. 1913

โฆษณารถยนต์ในหน้าหนังสือพิมพ์ ค.ศ. 1910
ในศตวรรษที่ 19 เศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วส่งผลให้ธุรกิจโฆษณาเติบโตเป็นอย่างมาก ในสหรัฐอเมริกา ความสำเร็จของการโฆษณานำไปสู่การส่งแคตตาล็อกไปตามบ้านแล้วให้ผู้รับสามารถสั่งของทางจดหมายได้ ค.ศ. 1841 บริษัทตัวแทนโฆษณาแรกของโลกได้ถือกำเนิดขึ้นโดยการก่อตั้งของ Volney Palmer ในเมืองบอสตัน ในระยะแรกบริษัทนี้เป็นนายหน้าขายพื้นที่โฆษณาในหนังสือพิมพ์ ค.ศ. 1875 N.W. Ayer เปิดบริษัท N. W. Ayer & Son ในฟิลาเดลเฟีย เป็นบริษัทแรกที่ให้บริการโฆษณาอย่างครบวงจร กล่าวคือ เป็นนายหน้าโฆษณาและรับจัดทำโฆษณาให้ด้วย โฆษณาเป็นหนึ่งในไม่กี่อาชีพที่ผู้หญิงสามารถทำได้ในยุคนี้ โฆษณาและนายหน้าทั้งหลายต่างพุ่งเป้าหมายไปที่ผู้หญิงเพราะผู้หญิงเป็นผู้จัดหาซื้อของเข้าบ้าน โฆษณาชิ้นแรกที่มีการใช้การปลุกเร้าทางเพศจัดทำโดยผู้หญิง เป็นโฆษณาเกี่ยวกับสบู่ที่ใช้สามีภรรยาคู่หนึ่งและขึ้นข้อความว่า "ผิวที่คุณรักที่จะสัมผัส" แม้ว่าจะดูเป็นเรื่องธรรมดาในสมัยนี้แล้วก็ตาม

เมื่อสถานีวิทยุเริ่มกระจายเสียงเป็นครั้งแรกในต้นทศวรรษที่ 1920 รายการวิทยุต่างๆก็ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ทั้งนี้เป็นเพราะสถานีวิทยุในยุคแรกๆก่อตั้งโดยผู้ผลิตวิทยุที่ต้องการให้มีรายการมาก ๆ เพื่อจะได้ขายวิทยุได้เยอะ ๆ เมื่อเวลาผ่านไป องค์กรไม่หวังผลกำไรต่างๆได้ตั้งสถานีวิทยุของตนขึ้นมา รายการวิทยุส่วนมากจะมีสปอนเซอร์สนับสนุนรายการซึ่งมักจะเป็นสปอนเซอร์เจ้าเดียวโดยผู้จัดรายการจะต้องกล่าวถึงสปอนเซอร์ก่อนและหลังรายการเป็นเวลาสั้นๆ ต่อมา เจ้าของสถานีวิทยุเห็นว่าหากขายช่วงเวลาโฆษณาให้กับหลายๆบริษัทจะทำเงินได้มากกว่ามีสปอนเซอร์เจ้าเดียว วิธีนี้ถูกนำไปใช้กับการโฆษณาในโทรทัศน์ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 และต้นทศวรรษ 1950 ด้วย มีการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างผู้ที่ต้องการให้วิทยุเป็นธุรกิจกับผู้ที่ต้องการให้คลื่นวิทยุเป็นสาธารณสมบัติและต้องใช้โดยไม่หวังผลกำไร

ในทศวรรษ 1960 วงการโฆษณาได้ก้าวเข้าสู่การโฆษณายุคใหม่ที่เริ่มใช้ข้อความที่แปลกตาเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน บริษัท Volkswagen สร้างโฆษณาที่ใช้หัวข้อว่า "คิดเล็กๆ" และ "มะนาว" (สัญลักษณ์อธิบายรูปร่างของรถในสมัยนั้น) นับเป็นผู้บุกเบิกการโฆษณาโดยใช้จุดเด่นของผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างความประทับตราตรึงแก่ผู้อ่าน วงการโฆษณาของอเมริกายุคนี้ถูกเรียกว่าเป็นยุคปฏิวัติความคิดสร้างสรรค์ นักโฆษณาที่โดดเด่นได้แก่ Bill Bernbach ผู้ที่ช่วยสร้างโฆษณาของ Volkswagen และอื่นๆอีกมากมาย

อินเทอร์เน็ตได้เปิดพรมแดนใหม่แห่งการโฆษณาและทำให้เกิดยุค "ดอตคอม" เฟื่องฟูในทศวรรษที่ 1990 บริษัทต่างๆอาศัยเงินจากการโฆษณาเพียงอย่างเดียวโดยเสนอทุกอย่างตั้งแต่คูปองไปจนถึงบริการอินเทอร์เน็ต ในช่วงก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 กูเกิลและบริษัทอีกจำนวนหนึ่งได้นำเสนอกลยุทธ์การโฆษณาที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา แทนที่จะโฆษณาทุกอย่างโดยไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ทำให้เกิดกระแสการสร้างโฆษณาแบบอินเทอร์แอคทีฟอย่างมากมาย

นวัตกรรมโฆษณาเมื่อไม่นานมานี้ได้แก่การโฆษณาแบบกระจายไปทั่ว กล่าวคือ การโฆษณาตามที่สาธารณะ เช่นการโฆษณาตามรถ หรือการโฆษณาแบบอินเทอร์แอฟทีฟที่อนุญาตให้ผู้ชมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการโฆษณาได้

รูปแบบการโฆษณา

โฆษณาประกันภัยบนบัลลูน
สื่อ
สถานที่ใดก็ตามที่มีสปอนเซอร์จ่ายเงินเพื่อจะได้แสดงโฆษณาของตนถือได้ว่าเป็นสื่อโฆษณาอย่างหนึ่ง สื่อโฆษณาอาจรวมถึง การเขียนกำแพง, ป้ายโฆษณา, ใบปลิว, แผ่นพับ, วิทยุ, โฆษณาในโทรทัศน์และโรงภาพยนตร์, ป้ายโฆษณาบนเว็บ, การโฆษณาบนท้องฟ้า, ที่นั่งตามป้ายรถเมล์, คนถือป้าย, นิตยสาร, หนังสือพิมพ์, ด้านข้างของรถหรือเครื่องบิน, ประตูรถแท็กซี่, เวทีคอนเสิร์ต, สถานีรถไฟใต้ดิน, สติกเกอร์บนแอปเปิล, โปสเตอร์, ด้านหลังของตั๋วการแสดง, ด้านหลังของใบเสร็จ และอื่นๆอีกมากมาย

การโฆษณาย่อย classified
การโฆษณาย่อย คือการโฆษณาที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ค่อนข้างเฉพาะตัว ตอบสนองต่อสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ กลุ่มเป้าหมายต้องมีลักษณะเฉพาะที่รวมกลุ่มกันได้ เช่น กลุ่มผู้รักรถยนต์,กลุ่มชมรมพระเครื่อง,ชุมชนคนใช้งาน cms joomla ข้อความที่โฆษณาเป็นสิ่งที่กลุ่มผู้เป้าหมาย ค้นหาหรือสนใจอยู่ในปัจจุบัน ในลักษณะของการเอื้อหรือสอดคล้องเป็นทำนองเดียวกันกับเนื้อหา ไม่เป็นการขัดจังหวะผู้รับข่าวสาร และตรงข้ามกับ การโฆษณาแบบมหาชน mass media

การโฆษณาแบบแอบแฝง
การโฆษณาแบบแอบแฝง คือ การที่สื่อบันเทิงหรือสื่อใดๆก็ตามกล่าวถึงหรือใช้ผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่งโดยไม่ได้บอกชัดแจ้งว่าเป็นการโฆษณา ตัวอย่างเช่น ในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ตัวเอกของเรื่องได้ใช้สินค้ายี่ห้อหนึ่งที่มีแบรนด์บอกสินค้าชัดเจน เช่น ในภาพยนตร์เรื่อง หน่วยสกัดอาชญากรรมล่าอนาคต (Minority Report) ทอม ครูซ ผู้รับบทเป็น จอห์น แอนเดอร์สัน ใช้โทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกียที่แสดงยี่ห้อไว้ชัดเจน และใช้นาฬิกายี่ห้อ Bulgari ตัวอย่างอื่นเช่นในภาพยนตร์เรื่อง ไอ โรบอท พิฆาตแผนจักรกลเขมือบโลก พระเอกของเรื่องกล่าวถึงรองเท้ายี่ห้อคอนเวิร์สของเขาอยู่หลายครั้ง บริษัทผู้ผลิตรถยี่ห้อคาดิลแลคได้เลือกโฆษณากับภาพยนตร์เรื่อง เดอะ เมทริกซ์ รีโหลดเดด ทำให้ในหนังเรื่องนี้มีรถคาดิลแลคปรากฏอยู่ในหลายฉาก

การโฆษณาทางโทรทัศน์
การโฆษณาทางโทรทัศน์เป็นวิธีโฆษณาแบบ broadcast ที่มีผู้รับชมเป็นจำนวนมาก สังเกตได้จากค่าโฆษณาตามทีวีในช่วงรายการดังๆที่มีราคาสูงมาก ในสหรัฐอเมริกา ค่าโฆษณาในช่วงซูเปอร์โบวล์มีราคาสูงถึง 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อสามสิบวินาที และเคยเชื่อว่ามีประสิทธิภาพที่สุดจนกระทั่งเกิดสื่อใหม่ที่เรียกว่า new media ซึ่ง new media สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคในวงกว้างได้ เช่นเดียวกับการโฆษณาทางโทรทัศน์ แต่สามารถตรวจนับได้ เป็นการสื่อสารสองทาง และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับผู้ชมแต่ละรายได้

การโฆษณาและการเข้าถึงผู้ชมรูปแบบใหม่
สื่อต่างๆเริ่มเข้ามามีอิทธิพลเหนือโทรทัศน์มากขึ้นเรื่อยๆทุกวัน เป็นเพราะผู้บริโภคเริ่มมีเวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มากกว่าการอยู่หน้าจอโทรทัศน์ หรือฟังวิทยุ

การโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตถือเป็นปรากฏการณ์เมื่อไม่นานมานี้ ราคาค่าโฆษณาบนเว็บขึ้นอยู่กับจำนวนผู้เข้าชมเว็บนั้น

การโฆษณาทางอีเมลก็เป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่ง อีเมลที่ผู้รับไม่พึงประสงค์จะรับถูกเรียกว่าสแปม

บริษัทบางบริษัทติดโลโก้ของตนไว้ที่ข้างจรวดและสถานีอวกาศนานาชาติ

มีข้อถกเถียงกันถึงประสิทธิภาพอันรุนแรงของการโฆษณาในระดับฝังใต้จิตใต้สำนึก (การควบคุมจิตใจ) และการโฆษณาชวนเชื่อ การโฆษณาชวนเชื่อคือการสื่อสารกับบุคคลหนึ่งเพื่อต้องการมีอิทธิพลเหนือบุคคลอื่น โน้มน้าวให้เห็นด้วยกับทางเลือกที่เราเสนอ จนเกิดการตัดสินใจตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้ ซึ่งอาจไม่สนใจในความถูกต้องหรือข้อเท็จจริง นำเสนอเพียงด้านใดด้านหนึ่งเพื่อให้การโน้มน้าวประสบผลสำเร็จ

การโฆษณาแบบปากต่อปากเป็นการโฆษณาที่ไม่ต้องอาศัยเงิน กล่าวคือ ผู้บริโภคจะแนะนำให้ผู้อื่นใช้กันต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งยี่ห้อสินค้านั้นอาจกลายเป็นชื่อเรียกของสินค้าไปเลย เช่น ซีร็อกซ์ =เครื่องถ่ายเอกสาร, มาม่า = บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, บรีสหรือเปา = ผงซักฟอก, ซันไลต์หรือไลปอนเอฟ = น้ำยาล้างจาน ฯลฯ ปรากฏการณ์เหล่านี้ถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของผู้โฆษณา อย่างไรก็ตาม บางบริษัทก็ไม่ต้องการให้ชื่อยี่ห้อของตนกลายเป็นคำใช้เรียกสินค้าเพราะอาจทำให้เครื่องหมายการค้าของตนกลายเป็น "คำตลาด" และทำให้สูญเสียสิทธิ์ในการใช้เครื่องหมายการค้านั้นไป

การโฆษณาผ่าน SMS เป็นที่นิยมมากในยุโรปและอเมริกา ข้อดีของการโฆษณาด้วยวิธีนี้ก็คือผู้รับข้อความสามารถตอบโต้ได้ทันทีไม่ว่าจะติดอยู่ในการจราจรที่ติดขัดหรือจะนั่งอยู่ในรถไฟฟ้า การใช้ SMS ยังทำให้เกิดการโฆษณาแบบปากต่อปากได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การใช้ภาษาในการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์

การโฆษณา


 
          การโฆษณาหมายถึง  การให้ข้อมูล ข่าวสาร เป็นการสื่อสารจูงใจผ่านสื่อโฆษณาประเภทต่าง ๆ เพื่อจูงใจหรือโน้มน้าวใจให้กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย มีพฤติกรรมคล้อยตามเนื้อหาสารที่โฆษณา  อันเอื้ออำนวยให้มีการซื้อหรือใช้สินค้าและบริการ  ตลอดจนชักนำให้ปฏิบัติตามแนวความคิดต่าง ๆ ทั้งนี้ขอให้ผู้โฆษณาหรือผู้อุปถัมภ์จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสื่อนั้น ๆ


 
ลักษณะของการโฆษณา


 
     1. การโฆษณาเป็นการสื่อสารจูงใจ  มีวัตถุประสงค์เพื่อการจูงใจให้เกิดพฤติกรรมการซื้อโดยวิธีการพูด  การเขียนหรือการสื่อความหมายใด ๆ   ที่มีผลให้ผู้บริโภคเป้าหมาย คิดคล้อยตาม  กระทำตามหรือเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมไปตามที่ผู้โฆษณาต้องการ
   
     2. การโฆษณาเป็นการจูงใจด้วยเหตุผลจริงและเหตุผลสมมติ  หมายถึง การจูงใจโดยบอกคุณสมบัติที่ เป็นประโยชน์ของผลิตภัณฑ์  และการจูงใจโดยใช้หลักการตอบสนองความต้องการด้านจิตวิทยา

     3. การโฆษณาเป็นการนำเสนอ สื่อสารผ่านสื่อมวลชนประเภทต่าง ๆ  ซึ่งสามารถเผยแพร่ข่าวสาร เกี่ยวกับสินค้าและบริการในระยะกว้างไกลได้สะดวก รวดเร็วที่สุด ไปสู่กลุ่มเป้าหมาย อย่างกว้างขวาง ไปสู่มวลชนอย่างรวดเร็ว เข้าถึงพร้อมกันและทั่วถึง

     4. การโฆษณาเป็นการเสนอขายความคิด  สินค้า  และบริการ  โดยใช้วิธีการจูงใจให้ผู้บริโภค เกิดความพอใจเกิดทัศนคติที่ดี  อันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในการซื้อสินค้า หรือบริการที่เสนอขาย

      5. การโฆษณาต้องระบุผู้สนับสนุนหรือตัวผู้โฆษณา  ซึ่งมีผลความเชื่อถือของผู้บริโภค
ของผู้บริโภค สร้างความเชื่อมั่นและแสดงให้เห็นว่า เป็นการโฆษณาสินค้า(advertising)มิใช่ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda)
     
       6. การโฆษณาต้องจ่ายค่าตอบแทนในการโฆษณาในสื่อต่าง ๆ   เช่น  วิทยุกระจายเสียง  วิทยุโทรทัศน์  หนังสือพิมพ์  วารสารและนิตยสาร  เป็นต้น  ดังนั้นผู้โฆษณาจะต้องมีงบประมาณ เพื่อการโฆษณาสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ด้วย

องค์ประกอบของการโฆษณา

องค์ประกอบของการโฆษณาจำแนกออกเป็น  4  ประการ  ได้แก่

1. ผู้โฆษณา (advertiser)
   
     คือ  เจ้าของสินค้า  เจ้าของบริการ  ซึ่งจะต้องประสานกับงานด้านการตลาดของหน่วยงานนั้น โฆษณาทุกชิ้นจะต้องปรากฏตัวผู้โฆษณาให้ชัดเจน  และผู้โฆษณาจะต้องรับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายใน การโฆษณาทั้งหมด
2. สิ่งโฆษณา (advertisement)

   
     คือ  โฆษณาที่ทำสำเร็จรูปแล้ว  หรือสิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ ที่ประกอบด้วยข้อความ รูปภาพซึ่งจะสื่อ ถึงสินค้าหรือบริการ ที่เห็นอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์  นิตยสาร  รวมถึงภาพยนตร์โฆษณา ทางโทรทัศน์และบทโฆษณาทางวิทยุ  เป็นต้น
3. สื่อโฆษณา (advertising)

    คือ สื่อที่ผู้โฆษณาเลือกใช้ในการเผยแพร่งานโฆษณาไปยังกลุ่มบริโภคเป้าหมาย เช่น โทรทัศน์ วิทยุ  หนังสือพิมพ์  เป็นต้น สื่อโฆษณาเป็นเครื่องมือสำคัญที่นำโฆษณาไปยังกลุ่มผู้บริโภค  สื่อโฆษณาแบ่ง เป็นประเภทต่าง ๆ  ตามความเหมาะสมของสินค้าที่ต้องการนำเสนอ  นักโฆษณาแบ่งสื่อโฆษณาเป็น  3  ประเภท  คือ

3.1 สื่อโฆษณาประเภทสิ่งพิมพ์ (print Media)
      เป็นการโฆษณาโดยใช้ตัวหนังสือเป็นตัวกลางถ่ายทอดความคิดไปสู่ประชาชน  ได้แก่  หนังสือพิมพ์รายวัน  หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์  นิตยสาร  ใบปลิว  แผ่นพับ  โปสเตอร์  คู่มือการใช้สินค้า  แบบตัวอย่างสินค้า (catalogs)  เป็นต้น

3.2 สื่อโฆษณาประเภทกระจายเสียงและแพร่ภาพ ( broadcasting media)
      เป็นการโฆษณาโดยใช้เสียง  ภาพ หรือตัวอักษร  ได้แก่  เสียงตามสาย วิทยุ  และโทรทัศน์ เป็นต้น


3.3 สื่อโฆษณาประเภทอื่น ๆ
      หมายถึง  สื่อโฆษณาอื่น ๆ นอกเหนือจากสื่อที่กล่าวแล้วข้างต้น  เช่น  ภาพยนตร์   อินเทอร์เนต   สื่อที่ใช้โฆษณาที่จุดขาย  รวมถึงสื่อโฆษณา นอกสถานที่   เช่น  ป้ายโฆษณา  ที่ติดรถโดยสาร ประจำทางหรือรถแท็กซี่  ป้ายราคาสินค้า  ธงราว  แผ่นป้ายต่าง ๆ ที่ติดตั้งไว้ตามอาคารสูง ๆ หรือตามสี่แยก  ป้ายโฆษณาที่ป้ายรถประจำทาง  หรือติดไว้ ณ ที่พักผู้โดยสาร  ป้ายโฆษณารอบ ๆ สนามกีฬาเมื่อมีการแข่งขันกีฬานัดสำคัญ ๆ เป็นต้น


4. กลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย (consumer)
   
     บุคคลทั่วไปที่รับสารเกี่ยวกับงานโฆษณา  ซึ่งหากเกิดความรู้สึกถูกใจ  ชื่นชมหรือชอบสินค้าหรือบริการ  จะนำไปสู่การตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการได้  ในทางโฆษณากลุ่มผู้บริโภค เป้าหมายจะหมายรวมถึงผู้ใช้สินค้าหรือบริการ